Advance search

ชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ และยังขุดพบโบราณวัตถุที่สามารถยืนยันว่าชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนโบราณมาก่อน

หมู่ที่ 18, หมู่ที่ 3
บ้านเชียงเหียน
เขวา
เมืองมหาสารคาม
มหาสารคาม
วิสาหกิจชุมชน โทร. 06-5957-1648, อบต.เขวา โทร. 0-4302-9501
ณัฐพล นาทันตอง
13 เม.ย. 2023
วุฒิกร กะตะสีลา
24 เม.ย. 2023
ณัฐพล นาทันตอง
26 เม.ย. 2023
บ้านเชียงเหียน

ชื่อบ้านเชียงเหียนมาจากตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาหลายสำนวนว่าเป็นเมืองเก่าสมัยเดียวกับ"ตำนานเรื่องผาแดงนางไอ่ที่จะนำเสนอต่อไปเพียง1สำนวน ในศตวรรษที่14 สมัยขอมเรืองอำนาจ สมัยพระเจ้าวรมันที่2 ขยายอาณาเขตมาถึงดินแดนลาวเกือบทั้งหมด และตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของลาว ชื่อเมือง ชะตา ชื่อเมืองสุวรรณโคมคำ ชาวเมืองเรียกเจ้าเมืองว่า พระยาขอม (พระยาขอมมีมเหสีชื่อ นางจันทร์ มีธิดาชื่อ ไอ่คำ เป็นหญิงที่มีสวยม) เมื่อเมืองชะคีตาเจริญรุ่งเรืองมากแล้ว พระยาขอมจึงโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ (คือน้องชาย 2 คน หลาน 3คน) ไปสร้างเมืองหน้าด่าน อีก5เมือง คือ

  •  เจ้าสีแก้ว(น้อง) ไปสร้างเมืองสีแก้ว
  •  เจ้าเชียงเหียน(น้อง) ไปสร้างเมืองเชียงเหียน
  •  เจ้าเชียงหงษ์(หลาน)ไปสร้างเมืองเชียงหงษ์
  •  เจ้าฟ้า(หลาน)ไปสร้างเมืองฟ้าแดดสงยาง
  •  เจ้าเชียงทอง(หลาน)ไปสร้างเมืองเชียงทอง

ชุมชนชนบท

ชุมชนโบราณที่มีคูน้ำคันดินล้อมรอบ และยังขุดพบโบราณวัตถุที่สามารถยืนยันว่าชุมชนแห่งนี้เป็นชุมชนโบราณมาก่อน

บ้านเชียงเหียน
หมู่ที่ 18, หมู่ที่ 3
เขวา
เมืองมหาสารคาม
มหาสารคาม
44000
16.154970498311965
103.37271649443068
องค์การบริหารส่วนตำบลเขวา

ประวัติเมืองเชียงเหียนหรือบ้านเชียงเหียนแต่โบราณไม่มีหลักฐานเขียนไว้แน่นอน แต่มีตำนานเล่าขานสืบต่อกันมาหลายสำนวนว่าเป็นเมืองเก่าสมัยเดียวกับ"ตำนานเรื่องผาแดงนางไอ่ที่จะนำเสนอต่อไปเพียง1สำนวน ในศตวรรษที่14 สมัยขอมเรืองอำนาจ สมัยพระเจ้าวรมันที่2 ขยายอาณาเขตมาถึงดินแดนลาวเกือบทั้งหมด และตั้งอยู่ทางทิศตะวันออกของลาว ชื่อเมือง ชะตา ชื่อเมืองสุวรรณโคมคำ ชาวเมืองเรียกเจ้าเมืองว่า พระยาขอม (พระยาขอมมีมเหสีชื่อ นางจันทร์ มีธิดาชื่อ ไอ่คำ เป็นหญิงที่มีสวยม) เมื่อเมืองชะคีตาเจริญรุ่งเรืองมากแล้ว พระยาขอมจึงโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์(คือน้องชาย คน หลาน คน) ไปสร้างเมืองหน้าด่าน อีก เมือง คือ

  1. เจ้าสีแก้ว(น้อง) ไปสร้างเมืองสีแก้ว
  2. เจ้าเชียงเหียน(น้อง) ไปสร้างเมืองเชียงเหียน
  3. เจ้าเชียงหงษ์(หลาน)ไปสร้างเมืองเชียงหงษ์
  4. เจ้าฟ้า(หลาน)ไปสร้างเมืองฟ้าแดดสงยาง
  5. เจ้าเชียงทอง(หลาน)ไปสร้างเมืองเชียงทอง

โบราณกาลสมัยก่อน การออกสร้างบ้านแปลงเมือง หรือการก่อร่างสร้างตน จะต้องมีไพร่พลแก้วแหวนเงินทองและของต่อไปนี้ (ตามขนบธรรมเนียมประเพณีโบราณ) คือ

  1. ช้าง  หนึ่งฮ้อย หรือหนึ่งร้อย
  2. ม้า  หนึ่งฮ้อย หรือหนึ่งร้อย
  3. วัว  หนึ่งฮ้อย หรือหนึ่งร้อย
  4. ข้าราชบริพาร เก้าฮ้อย หรือเก้าร้อย

เมื่อเมืองหน้าด่านทั้ง5เมืองเจริญรุ่งเรืองแล้ว พระยาขอมได้จัดประเพณีบุญบั้งไฟขึ้นในเดือนหก และมีใบบอกบุญไปยังเมืองต่างๆ ให้นำบั้งไฟไปแข่งขันที่เมืองเอกชะคีตา ถ้าใครชนะ คือบั้งไฟขึ้นสูงจะได้รางวัล คือทรัพย์สินเงินทอง นางสนมกำนัล ส่วนท้าวผาแดงแห่งเมืองผาโผงไม่ได้รับบอกบุญแต่ได้ทำบั้งไฟมาแข่งขันถ้าบั้งไฟผาแดงชนะจะได้นางไอ่คำเป็นรางวัล ผลการแข่งขัน ได้แก่

  • บั้งไฟพระยาเชียงเหียนขึ้นสูงเสียบฟ้า
  • บั้งไฟพระยาขอมไม่ขึ้น(เรียกว่าบั้งไฟซุ คือจุดแล้วจะมีไฟประกายแดงๆ พุ่งออกมาไม่ขึ้น)
  • บั้งไฟผาแดงแตก

ท้าวภังคีลูกชายพระยานาคทำบั้งไฟมาแข่งเหมือนกัน เพราะหลงรักนางไอ่ แต่นางไอ่คำชอบท้าวผาแดง ท้าวภังคีซึ่งเป็น นาค จึงแปลงร่างเป็นกระรอกเผือกมาให้นางไอ่คำเห็น นางไอ่คำเห็นกระรอกเผือกแปลกประหลาด เพราะแขวนกระดิ่งทองคำเวลากระโดดมีเสียงไพเราะ จึงให้นายพรานจับเมื่อจับไม่ได้จึงใช้ธนูยิงตายและแร่เนื้อให้ชาวบ้านกิน(ก่อนตายท้าวภังคีอธิษฐานว่าใครกินเนื้อกระรอกเผือกตัวนี้ขอให้บ้านเมืองถล่มลง)เมื่อเมืองเอกชะคีตากินเนื้อกระรอกเผือกนี้บ้านเมืองจึงถล่มลง เหลือเพียงเมืองหน้าด่าน 5เมือง พระยาขอมก็เสื่อมอำนาจลง ลาวก็มีอำนาจมากขึ้น สมัยพระเจ้าชัยเชษฐ์จึงยกไพร่พลมาปราบขับไล่ขอมออกไป (ในช่วงศตวรรษที่18) ฉะนั้นเมืองขอม 4-5เมืองจึงกลายเป็นเมืองขึ้นของลาวแต่ไม่ปรากฏชื่อของผู้ปกครองเมืองและไม่เจริญรุ่งเรืองเท่าที่ควรเมื่อประเทศไทยเป็นเอกราชกล่าววตามตำนานว่ามีพระสงฆ์ไทยรูปหนึ่งไปหลอกให้กษัตริย์ลาวแห่งเวียงจันทร์ปิดรูนาคและให้ทำลายกลองวิเศษที่เป็นของคู่บ้านคู่เมืองลาว (แต่ก่อนลาวจะมีกลองหรือฆ้องวิเศษ เวลามีความจำเป็นจะตีกลองหรือฆ้องวิเศษนาคจะขึ้นมาตามรู เพื่อมาช่วยลาวเลยเสื่อมอำนาจลง เมืองเชียงเหียนจึงเป็นเมืองร้างอีกที ต่อมาสมัยพระเจ้าอนุวงศ์ แห่งเวียงจันทร์ ไทยได้ขับไล่ ่ลาวออกไป มีเชื้อ อัญ-ยา(เชื้อพระยา) มาสร้างเมืองใหม่คือ

  1. อัญ-ยา พ่อเฒ่า
  2. อัญ-ยา พระศอ
  3. อัญ-สุริยะ (ต้นตระกูลขัตติยะวงศ์)

พร้อมใจกันสร้างเมืองเชียงเหียนขึ้นมาอีก แต่ไม่เจริญเท่าที่ควรเหมือนบ้านจาน จนกลายเป็นบ้านเชียงเหียนในทุกวันนี้

บ้านเชียงเหียน ตำบลเขวา เป็นเมืองโบราณมีลักษณะเป็นเนินสูงรูปไข่คือสูงตรงกลางมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ซึ่งเป็นลักษณะทำเลที่ตั้งที่ดีเมื่อฝนตกน้ำจะไหลจากที่สูงลงสู่คูน้ำและบึงที่อยุ่รอบหมุ่บ้านทุกบึง และจากทำเลที่ตั้งของบ้านเชียงเหียนดังกล่าวจึงมีความสอดคล้องกับลักษณะเมืองในสมัยทวารวดีคือมักจะมีคูน้ำคันดินล้อมรอบเมือง ซึ่งบ้านเชียงเหียนมีพื้นที่ติดต่อกับพื้นที่ดังต่อไปนี้

  • ทิศเหนือ ติดต่อกับ บ้านกุดซุย และบ้านลาด ตำบลลาดพัฒนา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ลักษณะพื้นที่เป็นที่ลุ่มมีลำน้ำไหลผ่านคือห้วยคะคางทำให้พื้นที่ทำนาในบริเวณนี้ของบบ้านเชียงเหียนส่วนใหญ่เป็นนาลุ่มน้ำท่วมทุกปีและชาวบ้านเรีกอาณาบริเวณนี้ว่า “นาแซง” เนื่องจากบริเวณนี้มีต้นแซงซึ่งเป็นพืชตระกูลเดียวกันกับต้นอ้อ นาที่ทำในบริเวณนาแซงมีจำนวนไม่มากนัก
  • ทิศใต้ ติดต่อกับ บ้านร่วมใจ ตะบลแวงน่า อำเถอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ลักษณะเป็นที่ราบ
  • ทิศตะวันตก ติดต่อกับ ติดต่อกับบ้านส่อง ตำบลตลาด อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคามลักษณะพื้นที่เป็นพื้นที่ราบทำนาได้ผลดี
  • ทิศตะวันออก ติดต่อกับ ติดกับบ้านหัน ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ลักษณะของพื้นที่เป็นที่ราบและสูงขึ้นในบริเวณขอบขอบของพื้นที่ การทำนาบางที่เป็นนาดอนได้ผลไม่ค่อยดี

บ้านเชียงเหียนเป็นเมืองโบราณมีคูน้ำคันดินล้อมรอบ ทำให้มีหนองน้ำอยู่รอบหมู่บ้านถึง 6 หนอง คือ บึงหว้า สระแก้ว หนองขอนพาด บึงบอน บึงสิม และบึงบ้าน ซึ่งหนองน้ำทั้งหมดสันนิษฐานว่าขุดไว้เป็นคูเมืองป้องกันข้าศึกศัตรูที่จะมารุกราน ซึ่งลักษณะของหนองน้ำทั้งหมดนั้นจะโค้งอ้อมบ้านมีทางเข้าออกเป็นช่องระหว่างหนองน้ำแต่ละหนอง นอกจากนั้นแล้วหนองน้ำยังมีประโยชน์ในการกักเก็บน้ำสำหรับคนในเมืองหรือในบ้านใช้ด้วย

ปัจจุบันจำนวนประชากรบ้านเชียงเหียนมีทั้งหมด 1,843 คน มีจำนวนบ้านเรือนทั้งหมด 559 หลังคาเรือน

กลุ่มสตรีทอผ้าบ้านเชียงเหียน การทอผ้ามัดหมี่เป็นศิลปะการทอผ้าพื้นเมืองชนิดหนึ่งนิยมทำกันมาช้านานในบริเวณภาคตะวันออกเฉียงเหนือหนึ่งในนั้นก็คือบ้านเชียงเหียน โดยนาย สากล พลเสน เป็นผู้ก่อตั้ง(ปัจจุบันเสียชีวิตแล้ว) แรกเริ่มมีจำนวนสมาชิกทั้งหมด 30 คน ปัจจุบันมี 7 คน ชาวบ้านจะใช้เวลาว่างจากการทำนาและการเก็บเกี่ยว หรือเวลาว่างของทุก ๆ วัน มาทอผ้าไว้ใช้ในครัวเรือนและเพื่อเป็นรายได้เสริม อีกทั้งเก็บไว้ใช้ในงานประเพณีต่างๆด้วย ลวดลายส่วนใหญ่มาจากอิทธิพลของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมรอบตัว การทำผ้ามัดหมี่ในภาคตะวันออกเฉียงเหนือนั้นส่วนใหญ่นิยมทำด้วยไหม

ชาวบ้านมีอาชีพเกษตรกรรมเป็นหลัก ในชีวิตประจำวันจึงทำเกษตรกรรมเป็นหลัก เมื่อว่างเว้นจากการทำนาก็ทำงานรับจ้างทั่วไป

  • นายสิน โคตรมุลคุณ อายุ 71 ปี ปัจจุบันอาศัยอยู่บ้านเลขที่ 51 หมู่  3 ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม เป็นผู้ที่มีองค์ความรู้ในด้านประเพณีพิธีกรรมสูตรเพื่อประกอบพิธีกรรมทางความเชื่อและศาสนาประจำหมู่บ้านที่สำคัญได้แก่ สูตรขวัญนาค สูตรขวัญงานแต่งงานสูตรขึ้นบ้านใหม่และอื่น ๆ

เมืองโบราณ  เมืองเชียงเหียน ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัดมหาสารคาม ก็เป็นเมืองหนึ่งที่ปรากฏในตำนานผาแดง-นางไอ่และบุญบั้งไฟ ซึ่งเป็นตำนานสร้างบ้านแปงเมืองคลาสสิคของอีสาน ส่วนตามหลักฐานโบราณคดี ศาสตราจารย์ชาร์ลส์ ไฮแอม (Charles Higham) กล่าวว่า “ชั้นดินทางวัฒนธรรมของบ้านเชียงเหียนในระยะแรกมีอายุประมาณ 1,200 B.C หรือ 3,200 ปี เป็นการขุดอายุของชุมชนที่มีความเก่าแก่ที่สุดในแอ่งโคราชก็ว่าได้ และรูปแบบทางวัฒนธรรมของเครื่องปั้นดินเผาที่บ้านเชียงเหียนก็แตกต่างไปจากแบบบ้านเชียงอย่างสิ้นเชิง..”  มีคูน้ำคันดินล้อมรอบที่ยังเห็นชัดเจน มีคันดิน 3 ชั้น คูน้ำ 2 ชั้น บริเวณชั้นนอกของเมืองมีเนินดินโบราณคดี 5 แห่ง ได้แก่ ดอนข้าวโอ ดอนปู่ตา ดอนย่าเฒ่า ดอนยาคู และหอนาง จากการขุดค้นทางโบราณครั้งแรก พบโครงกระดูกมนุษย์ พร้อมเครื่องสำริดฝังร่วมอยู่ และหากดูจากแผนที่ปัจจุบันจะเห็นว่าถนนตัดผ่ากลางเมืองโบราณ ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าเมื่อก่อนมีหลุมขุดค้นทางโบราณคดีอยู่หน้าโรงเรียน ก็เดาว่าน่าจะตรงถนนพอดี ซึ่งตรงนั้นมีลักษณะเป็นโนน

ช่วงปี 2548-2550 มีการขยายถนนแจ้งสนิท (ช่วงมหาสารคาม-ร้อยเอ็ด) มีการพบไหโบราณจำนวนมาก ชาวบ้านเรียกว่า “ปู่ไห” ยกย่องในฐานะบรรพบุรุษ นอกจากนี้ภายในวัดโพธิ์ศรียังมีสิมแบบงานช่างญวน ที่สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2435 ซึ่งยังใช้งานอยู่ในปัจจุบัน

พิพิธภัณฑ์บ้านเชียงเหียน  พิพิธภัณฑ์บ้านเชียงเหียนเสมือนเป็นอนุสรณ์ที่แสดงถึงความทุ่มเทและเสียสละของอาจารย์บุญหมั่น  คำสะอาด  ในการที่จะสร้างสรรค์และจรรโลงคุณค่าของศิลปวัฒนธรรมในบ้านเกิดของตนเองให้กับลูกหลานได้รับรู้  โดยใช้เวลาสะสมวัตถุต่าง ๆ ยาวนานกว่า  50  ปี  ภายในพิพิธภัณฑ์ชั้นบนมีการจัดการแสดงเครื่องมือ เครื่องใช้ของชาวอีสานตามประวัติศาสตร์บ้านเชียงเหียน และวัตถุอื่น ๆ  เช่น กะโหลก เขาควายชั้นล่างจัดแสดงผลงานศิลปะของอาจารย์หมั่น  คำสะอาด และผลงานของศิลปิน นิสิต นักศึกษา

ใช้ภาษาไทยเป็นภาษาราชการ ใช้ภาษาอีสานหรือภาษาท้องถิ่นในการสื่อสาร


ความเปลี่ยนแปลงของชุมชนบ้านเชียงเหียน การเป็นเมืองโบราณที่สำคัญทำให้ชุมชนมีชื่อเสียงและมีผู้คนรู้จักมาก โดยเฉพาะวงวิชาการที่มีความสนใจศึกษาเรื่องราวทางประวัติศาสตร์ นอกจากนั้นยังศึกษาเรื่องราวอื่น ๆ อีกหลากหลายด้าน ทำให้ชุมชนแห่งนี้เปรียบเสมือนครูของคนในชุมชนและผู้สนใจ

กำลังอยู่ระหว่างจัดทำข้อมูล

ศรีศักร วัลลิโภดม. (2548). เหล็ก "โลหปฏิวัติ" เมื่อ 2,500 ปีมาแล้ว ยุคเหล็กในประเทศไทย : พัฒนาการทางเทคโนโลยีและสังคม. กรุงเทพฯ : มติชน

สมพร นาคนชม. (2540). เครื่องมือในการทำนาของชาวบ้านเชียงเหียน ตำบลเขวา อำเภอเมือง จังหวัด  มหาสารคาม. วิทยานิพนธ์ศิลปะศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาไทยศึกษา(เน้นมนุษยศาสตร์).มหาวิทยาลัยมหาสารคาม

ชูศักดิ์ ศุกรนันท์. (2547). ภูมิปัญญาไทยอีสานในวรรณกรรมหมู่บ้านเชียงเหียน. มหาวิทยาลัยมหาสารคาม.

วิสาหกิจชุมชน โทร. 06-5957-1648, อบต.เขวา โทร. 0-4302-9501